สินค้าประเภทเดียวกัน การใช้งานเหมือนกัน ราคาใกล้ ๆ กัน แต่ทำไม แบรนด์หนึ่ง ถึงมียอดขายที่มากกว่าอีกแบรนด์ได้ ความแตกต่างคืออะไร? แน่นอนว่า ทุกวันนี้แบรนด์ที่ประสบความสําเร็จได้ นั้นไม่ได้มาจากโชคช่วย เพราะเบื้องหลังนั้นคือการสร้าง “Brand Identity” ที่น่าจดจำ
หลาย ๆ คนอาจเคยได้ยินคำนี้ผ่านหูกันมาบ้าง แต่ Carry Fulfillment เชื่อว่า ก็ยังมีคนอีกไม่น้อย ที่ยังไม่เข้าใจคำ ๆ นี้อย่างแท้จริง วันนี้เราจะไปดูกันครับ ว่า Brand Identity นี้ คืออะไร รวมถึงทำความเข้าใจความสำคัญและวิธีการสร้าอัฒลักษณ์ให้แบรนด์ของคุณอย่างไร ให้โดดเด่น น่าจดจำ

Brand Identity คืออะไร
Brand Identity คือ อัตลักษณ์ที่แสดงความเป็นตัวตนของแบรนด์ ตั้งแต่ภาพลักษณ์ หน้าตา บุคลิกภาพไปจนถึง จุดยืน แนวคิด และคุณค่าของแบรนด์ นี่จึงเป็นการตอบคำถามข้างต้นไปในตัวได้ว่า ทำไมสินค้าแบบเดียวกัน ฟังก์ชันแบบเดียวกัน แต่สุดท้าย ความสามารถในการดึงดูดลูกค้าให้ตัดสินใจซื้อนั้นต่างกัน เพราะสิ่งเหล่านี้คือองค์ประกอบพื้นฐานในการรับรู้ถึงความแตกต่างของผู้บริโภค สำหรับลูกค้าแล้วการเลือกใช้สินค้าหรือบริการ ก็เหมือนกับการเลือกไลฟ์สไตล์ สินค้านั้น ๆ คือสิ่งสะท้อนการใช้ชีวิตผ่านสิ่งที่พวกเขาเลือก
Brand Identity สำคัญต่อธุรกิจยังไง
Brand Identity ที่ดี จะทำให้แบรนด์เป็นที่โดดเด่นจากคู่แข่งในตลาด อีกทั้งยังสร้างความน่าเชื่อถือและจดจำได้ง่ายในสายตาของลูกค้า ยิ่งหากแบรนด์ไหนตรงจริตของลูกค้า สร้างความประทับใจให้แก่ลูกค้าได้ พวกเขาก็จะติดใจ ติดตาม เกิดความอยากซื้อ อยากจ่าย เกิดความภักดีต่อแบรนด์ และกลับมาซื้อซ้ำในท้ายที่สุด ซึ่งนั่นก็หมายถึงการเพิ่มยอดขายให้กับสินค้าและบริการของแบรนด์ได้ในระยะยาว
ประเภทของ Brand Identity
เพื่อให้นักการตลาดหรือเข้าของแบรนด์สามารถโฟกัสการสร้างแบรนด์ให้แม่นยำและตรงจุด จึงได้มีการกำหนด Brand Identity ไว้อยู่ 4 ประเภท ดังนี้
1. Graphic Identity: อัฒลักษณ์ของแบรนด์ ที่ลูกค้ามองเห็นได้ด้วยตาเปล่า อย่างเช่น รูปภาพ โลโก้ สี ลวดลาย
2. Sensorial Identity: อัฒลักษณ์ของแบรนด์ ที่ลูกค้าสัมผัสได้ด้วยความรู้สึก อย่าง กลิ่น เสียง รสชาติ ผิวสัมผัส เช่น
3. Behavioral Identity: อัฒลักษณ์ของแบรนด์ที่เชื่อมโยงถึงพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้าในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนใหญ่มักจะเป็นงานบริการ ร้านค้าออนไลน์ หรือแอปพลิเคชัน เช่น บริการสั่งอาหารจาก Lineman, แอพสั่งสินค้าออนไลน์อย่าง Lazada หรือ Shopee เป็นต้น
4. Functional Identity: อัฒลักษณ์เชิงประโยชน์ หรืออัฒลักษณ์ของแบรนด์ที่ลูกค้าจะได้ประโยชน์จากการใช้สินค้าหรือบริการ เช่น รองเท้าเพื่อสุขภาพ, เก้าอี้ออฟฟิศรองรับสรีระ เสื้อป้องกัน UV เป็นต้น
องค์ประกอบของ Brand Identity
Brand Identity คือ ตัวตนและภาพลักษณ์ที่แบรนด์ต้องการสื่อสารไปยังผู้บริโภค ซึ่งประกอบไปด้วยองค์ประกอบหลัก ๆ ดังนี้
1. Brand Name: ชื่อยี่ห้อสินค้าเพื่อระบุว่าเป็นยี่ห้ออะไร เพื่อให้เกิดการจำติดปาก ติดหูและติดตาลูกค้าได้
2. Logo: ตราสินค้าหรือยี่ห้อที่บ่งบอกว่าสินค้านี้มาจากแบรนด์ไหน
3. Color Scheme: กลุ่มสีที่แบรนด์ใช้ ซึ่งจะเป็นรูปแบบสีแบบเดียวกันทุกช่องทางในการสื่อสารแบรนด์
3. Graphic / Image: เพื่อสร้างภาพจำให้กับลูกค้าได้ว่า ภาพนี้ ไสตล์นี้ การจัดวางองค์ประกอบแบบนี้มาจากแบรนด์ไหน
5. Typography: รูปแบบตัวอักษรที่แบรนด์เลือกใช้เพื่อสื่อสารไปยังลูกค้า รวมถึงภายในองค์กรเองด้วยเช่นกัน
6. Tone & Voice: โทนและเสียงที่ใช้ในการสื่อสารไปยังลูกค้า เช่น สนุก ทางการ เข้าถึงง่าย เป็นต้น
7. Slogan / Catchphrase: สโลแกน หรือ คำสั้น ๆ ที่สร้างขึ้นมาเพื่อตอกย้ำชื่อแบรนด์ ข้อมูลสินค้า ให้เป็นที่คุ้นหูมากขึ้น ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามแต่ละแคมเปญทางการตลาด
วิธีการสร้าง Brand Identity ให้โดดเด่น มีเอกลักษณ์
การสร้าง Brand Identity ที่มีเอกลักษณ์ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็มีขั้นตอนที่ชัดเจนที่สามารถช่วยให้แบรนด์ของคุณโดดเด่นในตลาดได้:
- การวิเคราะห์ SWOT: ตรวจสอบจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และความเสี่ยง เพื่อเข้าใจแบรนด์และตลาด สิ่งนี้จะช่วยในการกำหนดเป้าหมายว่าแบรนด์ควรมุ่งเน้นไปที่จุดไหน
- กำหนดเป้าหมายทางธุรกิจ: กำหนดทิศทางและเป้าหมายที่ชัดเจน เพื่อสร้าง Brand Identity ที่ตรงจุดและบรรลุเป้าหมายนั้น
- สร้าง Persona: ทำการสำรวจ เพื่อสร้าง Brand Persona และทำความเข้าใจความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง
- การกำหนดบุคลิกภาพและการสื่อสารของแบรนด์: เพื่อสร้างการรับรู้ที่สอดคล้องกันในทุก ๆ ช่องทาง แบรนด์จึงต้องทำการกำหนดว่า องค์ประกอบต่าง ๆ เป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งหมด เช่น ใช้โทนและเสียงแบบไหน ต้องมีภาพลักษณ์แบบไหน รูปภาพที่ใช่ในการสื่อสารทางการตลาดเป็นสไตล์ไหน เป็นต้น
ตัวอย่าง Brand Identity ที่เป็นที่จดจำ
Starbucks

แบรนด์กาแฟชื่อดังที่โดดเด่นด้วยโลโก้นางเงือกหรือไซเรน และโทนสีเขียว อีกทั้งยังมีภาพลักษณ์ที่สื่อถึงความใส่ใจทั้งลูกค้าและสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่การสื่อสารและบริการลูกค้าที่ดี การเขียนชื่อลูกค้าลงบนแก้ว การเรียกชื่อรับเครื่องดื่ม การสนับสนุนชุมชน
Apple

ภาพลักษณ์ของ Apple นั้นเป็นที่จดจำจากความเรียบง่าย ทันสมัย เป็นผู้นำด้านนวัตกรรม ตั้งแต่ ดีไซน์สินค้า รูปภาพที่ใช้ในการสื่อสารทางการตลาด โทนสี โลโก้รูปแอปเปิลที่โดนกัดแหว่งไป รวมไปถึงแนวทางการสื่อสารและการบริการลูกค้าที่เฟรนด์ลี่ ชัดเจน ตรงไปตรงมา
การมี Brand Identity ที่ดีนั้น นอกจากจะส่งผลดีให้ตัวแบรนด์เองมีภาพลักษณ์ที่โดดเด่นในตลาดแล้ว ก็ยังทำให้ลูกค้าของแบรนด์นั้นรู้สึกเชื่อมโยงกับแบรนด์ ทั้งในด้านคุณค่าและตัวตน ซึ่งถือเป็นสิ่งที่สำคัญในการสร้างความจดจำและความน่าเชื่อถือในระยะยาว ก่อให้เกิดมีฐานลูกค้าที่มั่นคงและสร้างผลกำไรให้แบรนด์ได้ในท้ายที่สุด
และเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากการสร้าง Brand Identity ที่โดดเด่นแล้ว ก็อย่าลืมให้ความสำคัญจัดการ จัดเก็บ และส่งสินค้าที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งทาง Carry Fulfillment เองก็มีบริการที่ครบวงจรที่ช่วยให้คุณสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างแม่นยำและราบรื่น สามารถศึกษาบริการของเราเพิ่มเติมได้ที่นี่เลยครับ