what is just in time jit

ระบบ JIT หรือ Just-in-Time คือแนวคิดในการบริหารจัดการสินค้าคงคลังที่เน้นการจัดหาสินค้าและวัตถุดิบ “ให้พอดี” และ “ตรงเวลา” ตามความต้องการใช้งานจริง ลดของเหลือ ลดต้นทุน และเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ

ในยุคที่ธุรกิจ E-commerce แข่งขันกันด้วยความเร็วและต้นทุน การนำระบบ JIT มาใช้อย่างเหมาะสมจึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยร้านค้าออนไลน์ตอบสนองลูกค้าได้เร็วขึ้น พร้อมควบคุมค่าใช้จ่ายได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

หากคุณเป็นร้านค้าออนไลน์ที่กำลังมองหาวิธีจัดการสต๊อกอย่างมืออาชีพ วันนี้ Carry Fulfillment จะพาคุณไปรู้จักระบบ JIT ให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น ทั้งหลักการ ประโยชน์ ความท้าทาย และแนวทางการนำไปใช้จริง ตามไปดูกันเลย!


JIT คืออะไร? 

JIT หรือ Just-in-Time เป็นระบบการผลิตและการจัดการสินค้าคงคลังที่มีเป้าหมายในการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพโดยการจัดหาวัตถุดิบหรือสินค้าเฉพาะเมื่อจำเป็นต้องใช้เท่านั้น ในความหมายง่ายๆ คือ การมีสิ่งที่ถูกต้อง ในปริมาณที่ถูกต้อง ในเวลาที่ถูกต้อง และในสถานที่ที่ถูกต้อง

หลักการพื้นฐานของ JIT คือการลดความสูญเปล่าทุกรูปแบบ ในกระบวนการผลิตและการจัดการสินค้าคงคลัง โดยมีหลักการสำคัญคือ:

  1. ผลิตหรือจัดหาสินค้าเมื่อต้องการใช้เท่านั้น — ไม่มีการผลิตล่วงหน้าในปริมาณมากหรือการเก็บสต็อกสินค้าในปริมาณมาก
  2. ลดเวลาที่ใช้ในการตั้งค่าและการเปลี่ยนรูปแบบการผลิต — เพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนการผลิตได้อย่างรวดเร็วตามความต้องการของลูกค้า
  3. ลดระดับสินค้าคงคลังให้อยู่ในระดับต่ำที่สุด — เพื่อลดต้นทุนการเก็บรักษา พื้นที่จัดเก็บ และความเสี่ยงจากสินค้าล้าสมัย
  4. พัฒนาความสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์อย่างใกล้ชิด — เพื่อให้มั่นใจว่าการจัดส่งวัตถุดิบหรือสินค้าจะเป็นไปตามเวลาที่กำหนดและมีคุณภาพ
  5. มุ่งเน้นการปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่อง — เพื่อลดข้อผิดพลาดและความเสียหายในกระบวนการผลิตและการจัดส่ง

แนวคิดนี้เกิดขึ้นครั้งแรกที่ญี่ปุ่น ในยุค 1970 โดย ไทอิจิ โอโนะ (Taiichi Ohno) วิศวกรของบริษัทโตโยต้า เขาได้รับแรงบันดาลใจจากการไปดูงานที่โรงงานของ Ford Motor ในอเมริกา ที่ผลิตรถไว้รอขายจำนวนมาก ซึ่งทำให้เขาตั้งคำถามว่า “ทำไมต้องเก็บสต๊อกไว้ขนาดนั้น?” และคำถามนี้เองคือจุดเริ่มต้นของการพัฒนาระบบ JIT ที่เน้นความยืดหยุ่น ลดของเสีย และผลิตตามความต้องการที่แท้จริง

ปัจจุบัน JIT ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในโรงงานอุตสาหกรรมอีกต่อไป แต่ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในธุรกิจหลากหลายประเภท รวมถึง E-commerce ที่ต้องบริหารคลังสินค้าให้คล่องตัว ใช้ต้นทุนต่ำ และตอบสนองเร็วต่อเทรนด์และความต้องการของลูกค้า

young man working warehouse with boxes

ประโยชน์ของระบบ JIT สำหรับธุรกิจ E-commerce และ B2B

ระบบ JIT หรือ Just-in-Time คือแนวคิดที่ช่วยให้ร้านค้าหรือธุรกิจมี ของพอดี ในเวลาที่ใช่ และ ไม่มีของเหลือทิ้งให้เปลืองพื้นที่ เหมาะมากกับยุคนี้ที่อะไรๆ ก็เปลี่ยนไว โดยเฉพาะในสาย E-commerce และ B2B ที่ต้องบริหารจัดการเร็ว คล่องตัว และต้นทุนต้องคุมให้ดี มาดูกันว่าระบบนี้ช่วยธุรกิจคุณยังไงได้บ้าง

1. ลดต้นทุนการเก็บรักษาสินค้าคงคลัง

หนึ่งในต้นทุนแฝงที่หลายธุรกิจมองข้ามคือ ต้นทุนการสต๊อกสินค้า ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่าคลัง ค่าประกัน ค่าจัดการ หรือแม้แต่ความเสี่ยงจากของเสื่อมสภาพ หากใช้ระบบ JIT ธุรกิจจะไม่ต้องสต๊อกของจำนวนมากเกินความจำเป็น ช่วยลดค่าใช้จ่ายในด้านต่าง ๆ ได้เช่น

  • ค่าเช่าพื้นที่คลังสินค้า
  • ค่าประกันสินค้า
  • ค่าแรงงานในการดูแลคลังสินค้า
  • ต้นทุนในการจัดการสินค้าล้าสมัยหรือเสื่อมสภาพ

2. เพิ่มความยืดหยุ่นในการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า

โลกของ E-commerce และ B2B เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นเทรนด์ใหม่ หรือความต้องการที่ผันผวน ระบบ JIT ช่วยให้ธุรกิจไม่ต้องแบกรับของเก่าในคลังจำนวนมาก และสามารถ หมุนเวียนสินค้า หรือสั่งผลิตสินค้าใหม่ได้ทันทีเมื่อมีความต้องการเกิดขึ้นจริง

3. ยกระดับคุณภาพสินค้าและบริการ

ระบบ JIT ให้ความสำคัญกับคุณภาพในทุกขั้นตอน ซึ่งช่วยลดข้อผิดพลาดและความเสียหายในกระบวนการผลิตและการจัดส่ง นำไปสู่ความพึงพอใจของลูกค้าที่สูงขึ้น นอกจากนี้ การตรวจพบและแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการแก้ไขข้อผิดพลาดในระยะยาว

4. ใช้ทรัพยากรได้คุ้มค่ามากขึ้น

เมื่อไม่ต้องใช้ทรัพยากรไปกับการจัดเก็บของจำนวนมาก ธุรกิจสามารถนำทรัพยากรเหล่านั้นไปใช้ในส่วนที่สร้างประโยชน์มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นเงินทุน พื้นที่ หรือแรงงาน เช่น การพัฒนาสินค้าใหม่ การทำการตลาด หรือการขยายฐานลูกค้า

5. ลดความเสี่ยงจากสินค้าล้าสมัยหรือเสื่อมสภาพ

สำหรับสินค้าที่มีอายุจำกัดหรือหมุนเวียนตามเทรนด์ เช่น สินค้าแฟชั่น อุปกรณ์เทคโนโลยี หรือสินค้าอาหาร การมีสต๊อกมากเกินไปคือความเสี่ยงที่อาจกลายเป็นของเสียในอนาคต

ระบบ JIT แก้ปัญหานี้ได้โดยเน้นการสั่งซื้อหรือผลิต “เมื่อจำเป็น” ตามความต้องการจริง ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าสินค้าจะค้างจนขายไม่ออก

male warehouse worker

ธุรกิจจะเริ่มใช้ ระบบ Just-in-Time หรือ JIT ได้อย่างไร?

การเริ่มต้นใช้ระบบ JIT ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทั้งระบบภายในวันเดียว เจ้าของธุรกิจสามารถค่อยๆ วางแผนและปรับใช้ตามความเหมาะสม โดยมีขั้นตอนแนะนำดังนี้

1. ประเมินความเหมาะสมของธุรกิจ

ก่อนอื่นต้องเข้าใจธรรมชาติของสินค้าและพฤติกรรมลูกค้าในธุรกิจของคุณเอง เช่น

  • สินค้าคุณเป็นของแฟชั่น สกินแคร์ อาหาร หรืออุปกรณ์เทคโนโลยีหรือไม่?
  • ลูกค้ามีแนวโน้มซื้อซ้ำหรือเปลี่ยนความต้องการบ่อยแค่ไหน?
  • รอบการผลิตหรือจัดส่งของซัพพลายเออร์ใช้เวลากี่วัน?

ธุรกิจที่มีรอบการสั่งซื้อถี่ และยอดขายผันผวนบ่อย มักจะได้ประโยชน์จาก JIT มากที่สุด

2. จัดหมวดหมู่สินค้า

ไม่จำเป็นต้องใช้ JIT กับสินค้าทุกชิ้นในร้าน! เจ้าของธุรกิจสามารถแบ่งประเภทสินค้าเป็น 2 กลุ่มหลัก คือ 

  • กลุ่มที่เหมาะกับ JIT: เช่น สินค้าตามเทรนด์, สินค้าตามฤดูกาล, สินค้าใหม่ที่ยังไม่แน่ใจยอดขาย
  • กลุ่มที่ควรมีสต๊อกสำรอง: เช่น สินค้าขายดีตลอดปี, สินค้าที่มีรอบการจัดส่งนาน, สินค้าที่มีความต้องการสม่ำเสมอ

การจัดกลุ่มนี้จะช่วยให้คุณบริหารจัดการคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เสี่ยงของขาด และไม่แบกต้นทุนเกินความจำเป็น

3. ใช้ระบบ Fulfillment ที่ตอบโจทย์

การใช้ระบบ JIT จะมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อคุณมีพาร์ทเนอร์ที่ให้บริการ Fulfillment ที่เข้าใจการทำงานแบบ JIT และมีระบบที่รองรับ เช่น

  • ระบบ OMS ที่เชื่อมต่อกับช่องทางขายทั้งหมดแบบเรียลไทม์
  • ระบบ WMS (Warehouse Management System) ที่ช่วยวางแผนตำแหน่งจัดเก็บและดึงของแบบอัตโนมัติ
  • รองรับ บริการ Dropship หรือ “ส่งตรงจากซัพพลายเออร์ไปยังลูกค้า” 
  • มีแดชบอร์ดที่ให้คุณวิเคราะห์แนวโน้มการขาย และวางแผนสั่งสินค้าได้ล่วงหน้า

การลงทุนกับ Fulfillment Service ที่รองรับ JIT อาจดูเหมือนเพิ่มค่าใช้จ่ายในช่วงแรก แต่ระยะยาวจะช่วยประหยัดเวลา ลดต้นทุน และเพิ่มยอดขายได้อย่างยั่งยืน

carry fulfillment service

การใช้ระบบ JIT ในบริการ Fulfillment 

เมื่อคุณเลือกใช้บริการ Fulfillment ร่วมกับแนวทาง JIT (Just-in-Time) ระบบทั้งหมดจะถูกออกแบบมาให้ “คล่องตัวสูงสุด” และ “ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น” ออกไปจากกระบวนการจัดการสินค้าคงคลัง ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์หลายด้าน ทั้งในมุมของเจ้าของธุรกิจและในมุมของลูกค้า

เชื่อมต่อระบบสั่งซื้อกับสต๊อกแบบเรียลไทม์

ระบบ OMS (Order Management System) ของผู้ให้บริการ Fulfillment ที่ดีจะเชื่อมต่อกับหน้าร้านออนไลน์ของคุณแบบเรียลไทม์ เช่น Shopee, Lazada, TikTok Shop หรือเว็บไซต์ของคุณเอง เมื่อมีออเดอร์เข้ามา ระบบจะอัปเดตปริมาณสต๊อกทันที ลดความเสี่ยงของการ “รับออเดอร์เกินสต๊อก” หรือ “สต๊อกล้นโดยไม่จำเป็น”

ประสานงานกับซัพพลายเออร์ให้แบบอัตโนมัติ

ผู้ให้บริการ Fulfillment บางรายยังมีระบบที่สามารถแจ้งซัพพลายเออร์โดยอัตโนมัติเมื่อสต๊อกใกล้หมด หรือมีออเดอร์เพิ่มขึ้นกะทันหัน ทำให้คุณไม่ต้องเสียเวลาสื่อสารเองทุกครั้ง และสามารถวางแผนการผลิตหรือสั่งซื้อซ้ำได้ทันที

ลดรอบเวลาในการจัดส่ง เพิ่มความเร็วในการแพ็ค

ระบบ Fulfillment แบบ JIT จะวางแผนจัดส่งสินค้าให้ออกจากคลังสินค้าได้ภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังได้รับออเดอร์ เพราะไม่ต้องเสียเวลาค้นหาสินค้าในสต๊อกที่เก็บไว้นาน อีกทั้งการจัดเก็บแบบ JIT ยังช่วยให้คลังสินค้าคล่องตัว ไม่แออัด และทำให้ทีมงานสามารถจัดการแพ็คของได้รวดเร็วและแม่นยำขึ้น 

บทความที่เกี่ยวข้อง: 10 ข้อดีของบริการแพ็คสินค้า ช่วยร้านค้าออนไลน์ลดต้นทุนได้จริง! 


ในโลกของ E-commerce ที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วทุกวัน การบริหารสินค้าคงคลังแบบเดิม ๆ อาจไม่ทันเกมอีกต่อไป การนำระบบ JIT (Just-in-Time) มาใช้จึงเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ช่วยให้ธุรกิจปรับตัวได้ไว ลดต้นทุน เพิ่มกระแสเงินสด และตอบสนองลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ

ไม่ว่าจะเป็นการลดการเก็บสต๊อกส่วนเกิน การสั่งซื้อสินค้าอย่างชาญฉลาดตามแนวโน้ม หรือการร่วมมือกับ Fulfillment Partner ที่สามารถรองรับการทำงานแบบ JIT ได้ดี ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการเตรียมธุรกิจของคุณให้พร้อม “โต” อย่างมั่นคงในระยะยาว

หากคุณเป็นร้านค้าออนไลน์ที่มีออเดอร์เข้ามาจากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น Shopee, Lazada, TikTok Shop หรือเว็บไซต์ของคุณเอง จนเริ่มรู้สึกว่าจัดการไม่ทัน ไม่ต้องกังวลครับ!  Carry Fulfillment พร้อมช่วยดูแลธุรกิจของคุณตั้งแต่ต้นจนจบ ทั้งจัดเก็บ แพ็ค และส่งสินค้าให้คุณอย่างมีประสิทธิภาพ เรามีระบบหลังบ้านที่สามารถเชื่อมต่อ API เข้ากับแพลตฟอร์มต่าง ๆ ทําให้ร้านค้า ประหยัดเวลาในการจัดการออเดอร์ได้เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นหลักพันหรือหมื่นออเดอร์ เราพร้อมให้บริการที่ครบวงจร ช่วยให้ธุรกิจของคุณดำเนินไปอย่างราบรื่น 

อย่าปล่อยให้เรื่องสต๊อกและการจัดส่งกลายเป็นอุปสรรคในการโตของร้านคุณ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการของเราได้ที่นี่เลยครับ!