ในการทำการตลาดออนไลน์ การเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่เคยเข้ามาดูสินค้าแต่ยังไม่ได้ตัดสินใจซื้อเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ต้องเห็นสินค้าหรือบริการหลายครั้งก่อนที่จะมั่นใจและตัดสินใจซื้อ และนี่คือจุดที่ Retargeting เข้ามามีบทบาทสำคัญ 

เชื่อว่าพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์หลายคน คงเคยได้ยินคำนี้ผ่านหูกันอยู่บ้าง วันนี้ Carry Fulfillment จะพาไปทำความรู้จักกับ Retargeting ว่ามันคืออะไรและทำไมถึงสำคัญต่อธุรกิจออนไลน์ของคุณ ตามไปดูกันเลย


retargeting concept

Retargeting คืออะไร?

Retargeting หรือ การติดตามลูกค้าเป้าหมาย เป็นกลยุทธ์การโฆษณาที่ใช้เพื่อติดตามลูกค้าที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ เช่น การเยี่ยมชมเว็บไซต์ การคลิกดูสินค้า หรือการเพิ่มสินค้าลงในรถเข็นแต่ยังไม่กดซื้อ 

Retargeting จะทำให้แบรนด์สามารถแสดงโฆษณาซ้ำไปยังกลุ่มลูกค้าเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นบนโซเชียลมีเดียหรือเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่พวกเขาเข้าชม ช่วยสร้างการจดจำแบรนด์ (Brand Recall) และกระตุ้นความสนใจให้ลูกค้ากลับทำกิจกรรมที่ยังค้างไว้ เช่น การซื้อสินค้าหรือการลงทะเบียน

การใช้ Retargeting จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้มากขึ้น เพราะยิ่งลูกค้าเห็นโฆษณาหรือข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าซ้ำ ๆ ก็ยิ่งสร้างความน่าเชื่อถือและความมั่นใจในการซื้อสินค้าได้มากขึ้นนั่นเอง

Retargeting VS Remarketing 

ในการทำการตลาดออนไลน์ คำว่า Retargeting และ Remarketing อาจถูกใช้สลับกันบ่อยครั้ง เนื่องจากทั้งสองวิธีมีเป้าหมายที่คล้ายกัน คือการติดตามลูกค้าที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ เพื่อเพิ่มโอกาสในการกลับมาซื้อหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ กับแบรนด์อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทั้งสองแนวทางจะมีเป้าหมายที่คล้ายกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันในด้านกลยุทธ์และการใช้งาน ดังนี้

ความแตกต่างระหว่าง Retargeting และ Remarketing

ช่องทางและเครื่องมือที่ใช้

  • Retargeting มักใช้โปรแกรมพิเศษในการ Tracking การโฆษณาผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น Google Display Network หรือโซเชียลมีเดีย เพื่อติดตามลูกค้าที่เยี่ยมชมเว็บไซต์
  • Remarketing มักเกี่ยวข้องกับการใช้ข้อมูลในฐานข้อมูลลูกค้า เช่น รายชื่ออีเมล หรือการส่งข้อความผ่านช่องทางที่ตรงเป้าหมาย เช่น อีเมลแคมเปญ

เป้าหมาย

  • Retargeting เน้นการแสดงโฆษณาซ้ำให้กับผู้ที่เคยแสดงความสนใจ แต่ยังไม่ได้ดำเนินการ เช่น การซื้อสินค้า
  • Remarketing มุ่งเป้าหมายไปยังลูกค้าเก่าหรือลูกค้าที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์อย่างลึกซึ้ง เช่น การกระตุ้นให้กลับมาซื้อซ้ำ หรือการเสนอโปรโมชันพิเศษ

การเข้าถึงลูกค้า

  • Retargeting จะใช้เครื่องมือพิเศษ ติดตามพฤติกรรมผู้ใช้เพื่อแสดงโฆษณาซ้ำผ่านช่องทางออนไลน์
  • Remarketing ใช้ข้อมูลลูกค้าจากฐานข้อมูล เช่น การส่งอีเมล การแจ้งเตือน หรือการใช้โฆษณาเฉพาะเจาะจงตามข้อมูลที่มีอยู่

รูปแบบของการทำ Retargeting

Pixel-based Retargeting

Pixel-based Retargeting เป็นการใช้โค้ดที่เรียกว่า “พิกเซล” หรือ “คุกกี้” ที่ติดตั้งบนหน้าเว็บ เมื่อผู้ใช้งานเข้ามายังเว็บไซต์ พิกเซลจะเก็บข้อมูลและติดตามพฤติกรรมของผู้ใช้งาน ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ระบบสามารถแสดงโฆษณาไปยังผู้ใช้งานคนนั้นได้ตามความสนใจและพฤติกรรมที่เคยแสดงไว้ เช่น แสดงโฆษณาสินค้าที่ลูกค้าเคยดูซ้ำเพื่อกระตุ้นให้ตัดสินใจซื้อ

การทำงานของ Pixel-based Retargeting แบบเข้าใจง่าย ๆ 

  1. ติดตั้งโค้ดพิเศษ (Pixel) ในเว็บไซต์
  2. เมื่อลูกค้าเข้ามา ระบบจะบันทึก:
    • หน้าที่เขาเข้าชม
    • สินค้าที่เขาสนใจ
    • ระยะเวลาที่อยู่ในแต่ละหน้า
    • การใส่สินค้าในตะกร้า
    • การคลิกสินค้า 
  3. เมื่อลูกค้าออกจากเว็บไซต์ ระบบจะ:
    • ติดตาม “คุกกี้” ที่ฝังอยู่ในเบราว์เซอร์
    • แสดงโฆษณาที่เกี่ยวข้องตามเว็บไซต์หรือช่องทางต่างๆ

List-based Retargeting

การนำข้อมูลรายชื่อลูกค้าจากฐานข้อมูลของร้านค้าที่มีอยู่ เช่น อีเมลหรือเบอร์โทรศัพท์ มาใช้ในการแสดงโฆษณาให้กับกลุ่มเป้าหมาย โดย List-based Retargeting เหมาะสำหรับการโฆษณาแบบเฉพาะเจาะจงกับลูกค้าที่เคยมีความสัมพันธ์กับแบรนด์ เช่น แคมเปญกระตุ้นลูกค้าเก่า หรือส่งโปรโมชันพิเศษให้ลูกค้าประจำ

การทำงานของ List-based Retargeting แบบเข้าใจง่าย ๆ 

  1. รวบรวมข้อมูลลูกค้า เช่น:
    • อีเมล
    • เบอร์โทรศัพท์
    • ไอดีหรือชื่อบนโซเชียลมีเดีย
  2. อัพโหลดข้อมูลเข้าระบบโฆษณา
  3. แสดงโฆษณาเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่ตรงตามเงื่อนไข 

ประโยชน์ของ Retargeting ในการทำการตลาดออนไลน์

customer online shopping

เพิ่มโอกาสในการปิดการขาย

Retargeting ช่วยกระตุ้นลูกค้าที่สนใจสินค้าแต่ยังไม่ได้ซื้อให้กลับมาดำเนินการต่อ เช่น การซื้อสินค้าหรือการสมัครใช้บริการ ซึ่งก็จะทำให้โอกาสในการปิดการขายเพิ่มขึ้นเพราะลูกค้ามักมีแนวโน้มที่จะตัดสินใจหลังเห็นโฆษณาซ้ำ

สร้างการจดจำแบรนด์ (Brand Recall)

การแสดงโฆษณาให้ลูกค้าเห็นบ่อยครั้ง ถือเป็นการช่วยสร้างการจดจำแบรนด์ และเมื่อลูกค้าต้องการซื้อสินค้าในหมวดหมู่นั้น ๆ พวกเขาก็จะนึกถึงแบรนด์ของคุณเป็นอันดับแรก ช่วยให้คุณเหนือกว่าคู่แข่งที่ลูกค้าอาจจำไม่ได้

เพิ่มการมีส่วนร่วมกับลูกค้า (Customer Engagement)

Retargeting ช่วยกระตุ้นการมีส่วนร่วมกับลูกค้าที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นการคลิกเข้าเว็บไซต์ การติดตามผ่านโซเชียลมีเดีย หรือการสมัครรับข่าวสารจากทางแบรนด์ ช่วยให้แบรนด์ของคุณเป็นที่จดจำและเกิดการเชื่อมโยงกับลูกค้าได้อีกด้วย 

ช่วยให้แคมเปญมีประสิทธิภาพ

Retargeting ช่วยให้ร้านของคุณ ได้แสดงโฆษณาไปยังลูกค้าเฉพาะกลุ่มที่เคยแสดงความสนใจในสินค้าของทางร้าน ทำให้ค่าโฆษณาที่ใช้อยู่ไม่สูญเปล่า และสร้างผลลัพธ์ที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น


เคล็ดลับการทำ Retargeting ให้ได้ผลดี

target audience

1. เลือกกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสม

การเลือกกลุ่มเป้าหมายที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์จะช่วยให้โฆษณาของคุณตรงกลุ่มและเพิ่มโอกาสในการคลิก เช่น 

  • กลุ่มที่เพิ่งเข้าชมครั้งแรก
    • แสดงโฆษณาแนะนำแบรนด์
    • นำเสนอจุดเด่นของสินค้า
  • กลุ่มที่ดูสินค้าแล้วไม่ซื้อ
    • แสดงรีวิวจากลูกค้าจริง
    • เสนอส่วนลดพิเศษ
  • กลุ่มที่ใส่ตะกร้าแล้วยังไม่จ่ายเงิน
    • แจ้งเตือนตะกร้าที่ค้างไว้
    • ให้โค้ดส่วนลดพิเศษ
    • แสดงสินค้าที่คล้ายกัน

2. ตั้งช่วงเวลาที่เหมาะสม (Frequency Capping)

กำหนดจำนวนครั้งที่จะแสดงโฆษณาให้กับลูกค้าเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาเห็นโฆษณาซ้ำมากเกินไป การกำหนดช่วงเวลาที่เหมาะสมจะช่วยลดโอกาสที่ลูกค้ารู้สึกว่าโฆษณานั้นน่ารำคาญ ความถี่การยิง Ads ในการทำ Retaregting สามารถทำตามได้เบื้องต้น ดังนี้

  • วันที่ 1-3: แสดงโฆษณา 4-5 ครั้งต่อวัน
  • วันที่ 4-7: ลดลงเหลือ 2-3 ครั้งต่อวัน
  • หลังจากนั้น: 1-2 ครั้งต่อวัน
  • หยุดแสดงหลัง 30 วันถ้าไม่มีการตอบสนอง

3. ปรับแต่งข้อความโฆษณาให้ดึงดูด

ข้อความโฆษณาที่ดีควรดึงดูดและกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจ เช่น การแสดงโปรโมชันพิเศษ การเสนอส่วนลดสำหรับลูกค้าที่เคยเข้ามาดูสินค้า ช่วยให้ลูกค้ารู้สึกว่ามีแรงจูงใจที่จะกลับมา

4. ใช้ Call-to-Action ที่ชัดเจน

Call-to-Action ที่ชัดเจน เช่น “ซื้อเลย” หรือ “ดูก่อนหมดโปร” จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าทำตามแอคชั่นนั้น ๆ และส่งผลให้ร้านคุณได้ยอดขายที่เพิ่มขึ้นในที่สุดนั่นเอง 

5. วัดผลและปรับปรุงแคมเปญอยู่เสมอ

การทำ Retargeting ต้องมีการวัดผลและวิเคราะห์ผลลัพธ์อย่างต่อเนื่องเพื่อปรับปรุงกลยุทธ์ เช่น การปรับโฆษณา การเพิ่มลดงบประมาณ หรือการเลือกกลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มสูงขึ้น วิธีนี้จะช่วยให้แคมเปญ Retargeting ของร้านค้าคุณ สร้างผลลัพธ์ได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืนมากขึ้น


Retargeting ก็เหมือนการตามจีบลูกค้าอย่างชาญฉลาด ไม่ก้าวก่าย แต่คอยเตือนความจำและมอบข้อเสนอดี ๆ ให้เขากลับมาหาร้านของคุณ หากวางแผนการ Retargeting ได้อย่างถูกวิธี นี่ก็ถือเทคนิคที่ช่วยให้แบรนด์เป็นที่จดจำ ลดโอกาสในการสูญเสียลูกค้าที่สนใจในสินค้าของร้าน แถมยังเพิ่มโอกาสในการทำการตลาดให้ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน

สำหรับร้านค้าออนไลน์ร้านไหน ที่มีออเดอร์เข้ามามากมายจนจัดการไม่ทัน ก็อย่าลืมนึกถึง Carry Fulfillment กันนะครับ เราช่วยร้านคุณจัดการได้ทุกขั้นตอน ทั้งจัดเก็บ แพ็ค และส่งสินค้าให้คุณอย่างมีประสิทธิภาพ เรามีระบบหลังบ้านที่สามารถเชื่อมต่อ API เข้ากับแพลตฟอร์มต่าง ๆ ทําให้ร้านค้า ประหยัดเวลาในการจัดการออเดอร์ได้เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นหลักพันหรือหมื่นออเดอร์ เราพร้อมให้บริการครบวงจรที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณดำเนินไปอย่างราบรื่น สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการของเราได้ที่นี่เลยครับ!