what is b2b

ในโลกธุรกิจที่เราอยู่ทุกวันนี้ มีคำศัพท์หนึ่งที่เราได้ยินบ่อยมาก นั่นคือ “B2B” หรือ “Business-to-Business” แต่คุณรู้ไหมว่าจริง ๆ แล้ว B2B คืออะไร? และทำไมมันถึงสำคัญมากในระบบเศรษฐกิจ? วันนี้ Carry Fulfillment จะพาไปทำความรู้จักกับธุรกิจ B2B ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้กัน

B2B คืออะไร?

B2B หรือ Business-to-Business คือการทำธุรกิจระหว่างองค์กรกับองค์กร หรือพูดง่าย ๆ คือการที่ธุรกิจหนึ่งขายสินค้าหรือบริการให้กับอีกธุรกิจหนึ่ง ไม่ใช่ขายให้กับผู้บริโภคทั่วไปโดยตรง 

ลองนึกภาพง่าย ๆ เวลาที่เราดื่มกาแฟแก้วโปรดจากร้านดัง กว่าที่กาแฟแก้วนั้นจะมาถึงมือเรา มันผ่านการทำธุรกิจ B2B มามากมาย เริ่มตั้งแต่

  • เกษตรกรขายเมล็ดกาแฟให้โรงคั่ว (B2B)
  • โรงคั่วขายเมล็ดกาแฟให้ร้านกาแฟ (B2B)
  • บริษัทขายเครื่องชงกาแฟให้ร้าน (B2B)
  • โรงงานผลิตแก้วกระดาษขายให้ร้าน (B2B) สุดท้ายเมื่อเราซื้อกาแฟจากร้าน นั่นคือ B2C (Business-to-Consumer)
supplier with engineer checking on production

ประเภทของธุรกิจ B2B

ธุรกิจ B2B มีหลากหลายรูปแบบ มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง

ผู้ผลิตวัตถุดิบ (Raw Material Suppliers) เปรียบเสมือนต้นน้ำของห่วงโซ่ธุรกิจ เช่น เหมืองแร่ที่ขายแร่เหล็กให้โรงงานเหล็ก หรือฟาร์มที่ขายนมดิบให้โรงงานนม

ผู้ผลิตสินค้าและชิ้นส่วน (Manufacturers) เป็นผู้แปรรูปวัตถุดิบให้เป็นสินค้าหรือชิ้นส่วน เช่น โรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ที่ขายให้กับบริษัทประกอบรถยนต์

ผู้ให้บริการทางธุรกิจ (Service Providers) ธุรกิจที่ให้บริการแก่ธุรกิจอื่น เช่น บริษัทรับทำบัญชี บริษัทที่ปรึกษาด้านการตลาด หรือบริษัทรับทำความสะอาด

ผู้จัดจำหน่ายและตัวกลาง (Distributors) ทำหน้าที่เป็นคนกลางระหว่างผู้ผลิตกับร้านค้า เช่น ยี่ปั๊วที่รับสินค้าจากโรงงานมาขายต่อให้ร้านค้าปลีก

จุดเด่นของธุรกิจ B2B ที่น่าสนใจ

  1. มูลค่าการซื้อขายต่อครั้งสูง เพราะเป็นการซื้อขายระหว่างธุรกิจ ยอดออเดอร์จึงมักมีมูลค่าสูง เช่น ร้านกาแฟอาจสั่งเมล็ดกาแฟครั้งละหลายสิบกิโลกรัม หรือแก้วกระดาษครั้งละหลายพันใบ
  2. สร้างความสัมพันธ์ระยะยาวได้ง่าย เมื่อธุรกิจเจอซัพพลายเออร์ที่ไว้ใจได้ มักจะใช้บริการต่อเนื่องยาวนาน เพราะการเปลี่ยนคู่ค้าบ่อยๆ อาจส่งผลต่อคุณภาพสินค้าและบริการ
  3. การแข่งขันน้อยกว่า B2C เพราะต้องมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน มีมาตรฐานการผลิตที่น่าเชื่อถือ และต้องมีเงินทุนสูงในการเริ่มต้น

กลยุทธ์การทำธุรกิจ B2B ให้ประสบความสำเร็จ

1. การสร้างความน่าเชื่อถือ

การสร้างความน่าเชื่อถือเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจ B2B เพราะเมื่อองค์กรหนึ่งจะเลือกทำธุรกิจกับอีกองค์กร คือการที่พวกเขากำลังไว้วางใจให้อีกฝ่ายเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่ธุรกิจ หากเกิดความผิดพลาด อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจอย่างรุนแรง ดังนั้น การสร้างความน่าเชื่อถือจึงต้องทำอย่างรอบด้าน โดยสามารถเริ่มจากการมีเว็บไซต์ที่ออกแบบอย่างมืออาชีพ แสดงข้อมูลครบถ้วน ชัดเจน และอัพเดตสม่ำเสมอ การมีใบรับรองมาตรฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็น ISO, GMP หรือมาตรฐานอื่นๆ ที่แสดงให้เห็นว่าเรามีระบบการทำงานที่ได้มาตรฐาน นอกจากนี้ การมีพอร์ตโฟลิโอที่แสดงผลงานที่ผ่านมา พร้อมรีวิวและคำรับรองจากลูกค้าเก่า จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าใหม่ได้เป็นอย่างดี

2. การบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า

การบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้าในธุรกิจ B2B นั้นมีความละเอียดอ่อนและซับซ้อนมากกว่า B2C เพราะธุรกิจไม่ได้แค่ขายสินค้าหรือบริการ แต่เรากำลังสร้างพันธมิตรทางธุรกิจในระยะยาว การให้บริการหลังการขายที่ดีจึงสำคัญมาก ต้องมีทีมงานที่พร้อมให้คำปรึกษาและช่วยแก้ปัญหาได้ตลอดเวลา การมีระบบ CRM (Customer Relationship Management) ที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้องค์กรเข้าใจและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น เช่น การบันทึกประวัติการสั่งซื้อ ความชอบ หรือปัญหาที่เคยเกิดขึ้น นอกจากนี้ การจัดกิจกรรมสร้างความสัมพันธ์ เช่น การสัมมนาให้ความรู้ การเยี่ยมชมโรงงาน หรือการจัดงานเลี้ยงขอบคุณลูกค้า จะช่วยกระชับความสัมพันธ์และสร้างความผูกพันในระยะยาว

3. การตลาดดิจิทัลสำหรับ B2B

การตลาดดิจิทัล (Digital Marketing) สำหรับธุรกิจ B2B มีความแตกต่างจาก B2C อย่างมาก เพราะกลุ่มเป้าหมายคือผู้บริหารหรือผู้มีอำนาจตัดสินใจในองค์กร การทำ Content Marketing จึงต้องเน้นการให้ความรู้เชิงลึก แสดงความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม และนำเสนอโซลูชั่นที่ตอบโจทย์ธุรกิจ โดยเน้นนำเสนอคอนเทนต์ผ่านแพลตฟอร์ม LinkedIn เป็นแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานส่วนใหญ่คือเหล่ามืออาชีพและผู้บริหาร การสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณค่าและแชร์บน LinkedIn จะช่วยสร้างการรับรู้และความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ได้อย่างดี การทำ SEO ก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะเมื่อลูกค้าต้องการหาโซลูชั่นทางธุรกิจ พวกเขามักจะเริ่มต้นจากการค้นหาในกูเกิล การติดอันดับต้น ๆ จะช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงลูกค้าที่มีความต้องการจริง ๆ ส่วน Email Marketing ยังคงเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับธุรกิจ B2B เพราะเป็นช่องทางที่เป็นทางการและสามารถนำเสนอข้อมูลได้อย่างละเอียด แต่ต้องทำอย่างมีกลยุทธ์ เน้นการให้ข้อมูลที่มีคุณค่า ไม่ส่งอีเมลถี่จนเกินไป และต้องมีการวัดผลและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง


woman carrying shopping bags at the mall

แล้ว B2C ต่างจาก B2B อย่างไร?

ในขณะที่เราเข้าใจ B2B กันไปแล้ว มาทำความรู้จักกับโมเดลธุรกิจที่น่าสนใจอีกสองแบบ นั่นคือ B2C และ B2B2C ซึ่งแต่ละแบบมีเอกลักษณ์และความท้าทายที่แตกต่างกัน

ธุรกิจแบบ B2C คืออะไร?

B2C หรือ Business-to-Consumer คือการที่ธุรกิจขายสินค้าหรือบริการให้กับผู้บริโภคคนสุดท้ายโดยตรง เป็นรูปแบบที่เราคุ้นเคยที่สุดในชีวิตประจำวัน ลองนึกถึงตอนที่คุณซื้อกาแฟจากร้านกาแฟ ซื้อเสื้อผ้าจากห้างสรรพสินค้า จองตั๋วเครื่องบินกับการสายการบิน นั่นคือตัวอย่างของธุรกิจ B2C ทั้งหมด

ความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง B2B และ B2C

  1. กระบวนการตัดสินใจซื้อ 
  • B2B: มักใช้เวลานาน มีหลายคนเกี่ยวข้องในการตัดสินใจ ต้องผ่านการพิจารณาหลายขั้นตอน
  • B2C: ตัดสินใจได้เร็วกว่า มักเป็นการตัดสินใจของคนเดียวหรือไม่กี่คน ใช้อารมณ์ร่วมในการตัดสินใจมากกว่า
  1. ความสัมพันธ์กับลูกค้า 
  • B2B: เน้นสร้างความสัมพันธ์ระยะยาว มีการพบปะพูดคุยกันบ่อย 
  • B2C: ความสัมพันธ์อาจไม่ลึกซึ้ง ลูกค้าสามารถเปลี่ยนไปใช้แบรนด์อื่นได้ง่าย
  1. การทำการตลาด 
  • B2Bเน้นข้อมูลเชิงเทคนิค คุณภาพ มาตรฐาน และความคุ้มค่าในระยะยาว B
  • 2C: เน้นอารมณ์ ไลฟ์สไตล์ และประโยชน์ที่ผู้บริโภคจะได้รับ
online shopping

แล้ว B2B2C คืออะไร?

การเติบโตของยุคดิจิทัลได้นำมาซึ่งโมเดลธุรกิจรูปแบบใหม่ที่น่าสนใจอย่าง B2B2C หรือ Business-to-Business-to-Consumer ซึ่งเป็นการที่ธุรกิจหนึ่งร่วมมือกับอีกธุรกิจหนึ่งเพื่อเข้าถึงผู้บริโภคคนสุดท้าย โดยแต่ละฝ่ายจะได้ประโยชน์ร่วมกัน 

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในชีวิตประจำวันคือ แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่าง Shopee หรือ Lazada ที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างร้านค้าและผู้บริโภค โดยแพลตฟอร์มจะได้รายได้จากค่าคอมมิชชั่น ร้านค้าได้ช่องทางในการเข้าถึงลูกค้า และผู้บริโภคก็ได้รับความสะดวกในการเลือกซื้อสินค้าจากร้านค้าหลากหลาย

โมเดล B2B2C นี้แตกต่างจากโมเดลธุรกิจแบบดั้งเดิมตรงที่เป็นการสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ (Win-Win-Win Situation) โดยอาศัยเทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ ทำให้การเชื่อมต่อระหว่างธุรกิจและผู้บริโภคเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ข้อมูลที่ได้จากการทำธุรกิจในรูปแบบนี้ยังมีคุณค่ามหาศาล สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาบริการและสร้างประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้กับทุกฝ่ายในระบบ

อย่างไรก็ตาม การบริหารธุรกิจในรูปแบบ B2B2C ก็มีความท้าทายไม่น้อย โดยเฉพาะในเรื่องของการรักษาสมดุลระหว่างผลประโยชน์ของทุกฝ่าย การควบคุมคุณภาพของบริการ และการพัฒนาระบบเทคโนโลยีที่รองรับการทำงานที่ซับซ้อน แต่ด้วยแนวโน้มของโลกธุรกิจที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่ดิจิทัลมากขึ้น โมเดล B2B2C จึงมีแนวโน้มที่จะเติบโตและพัฒนาต่อไปอย่างต่อเนื่อง โดยอาจจะเห็นการผสมผสานกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น AI, Blockchain หรือ IoT เพื่อยกระดับประสิทธิภาพและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทุกฝ่ายในระบบนิเวศทางธุรกิจ


การทำธุรกิจ B2B อาจดูซับซ้อนและท้าทาย แต่ถ้าเข้าใจพื้นฐานและเตรียมตัวให้พร้อม ก็สามารถประสบความสำเร็จได้ สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่า B2B ไม่ใช่แค่การซื้อขายระหว่างธุรกิจ แต่เป็นการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจในระยะยาว การให้ความสำคัญกับคุณภาพ ความน่าเชื่อถือ และการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า จะเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้ธุรกิจ B2B ของคุณเติบโตอย่างยั่งยืน

ไม่ว่าคุณจะเพิ่งเริ่มต้นหรือกำลังมองหาโอกาสใหม่ๆ ในวงการ B2B, B2C, หรือ B2B2C การเข้าใจพื้นฐานและแนวโน้มต่างๆ จะช่วยให้คุณวางแผนและพัฒนาธุรกิจได้อย่างมั่นใจมากขึ้น อย่าลืมว่าในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงเร็ว การเรียนรู้และปรับตัวอย่างต่อเนื่องคือกุญแจสู่ความสำเร็จ! ในการเดินทางสู่ความสำเร็จทางธุรกิจ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในโมเดล B2B, B2C หรือ B2B2C การมีพาร์ทเนอร์ที่ไว้ใจได้ถือเป็นปัจจัยสำคัญ Carry Fulfillment พร้อมยกระดับธุรกิจของคุณด้วยบริการครบวงจร ตั้งแต่การจัดเก็บ แพ็คและจัดส่งสินค้า พร้อมระบบหลังบ้านที่เชื่อมต่อ API เข้ากับทุกแพลตฟอร์ม ให้คุณบริหารธุรกิจได้อย่างไร้กังวล หากสนใจบริการของเรา สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ได้ที่นี่เลยครับ! แล้วมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จไปด้วยกัน!