
การแพ็คสินค้าลงในหีบห่อหรือบรรจุภัณฑ์เพื่อจัดส่งให้กับลูกค้าเป็นขั้นตอนสำคัญของการขายของ โดยเฉพาะร้านค้าออนไลน์ เพราะจะเป็นการสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าเมื่อได้รับสินค้า อีกทั้งทำให้สินค้าอยู่ในสภาพสวยงาม สมบูรณ์จนถึงมือลูกค้าอีกด้วย หากสินค้าเสียหายระหว่างการจัดส่งพ่อค้าแม่ค้าก็ต้องมีภาระงานเพิ่มขึ้นทั้งการเคลมสินค้า การติดต่อประสานงาน และยังเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย ยิ่งสินค้ามีมูลค่าสูงก็ยิ่งสร้างความกังวลให้กับพ่อค้าแม่ค้า การแพ็คสินค้าให้ปลอดภัยที่สุดจึงเป็นจุดที่คนขายของออนไลน์ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ
อุปกรณ์สำคัญในการแพ็คของหรือแพ็คสินค้า
- บรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสม เช่น กล่องพัสดุ ซองเหนียว ซองกันกระแทก ฯลฯ
- อุปกรณ์ลดแรงกระแทก เช่น กระดาษย่อย บับเบิ้ล รังผึ้ง โฟม ฯลฯ
- กรรไกร คัตเตอร์
- อุปกรณ์ปิดผนึก เช่น เทปกาว เชือก ฯลฯ
- สัญลักษณ์สำหรับติดกล่อง เช่น ระวังแตก ห้ามโยน ฯลฯ
วิธีแพ็คของส่งลูกค้า
1. เลือกกล่องหรือบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสินค้า
ก่อนลงมือแพ็คของต้องเลือกบรรจุภัณฑ์ให้เหมาะสมเสียก่อน ถ้าสินค้าเป็นสินค้าที่ไม่แตกหักเสียหาย อย่างเสื้อผ้า ปลอกหมอน ก็สามารถบรรจุใส่ซองพลาสติกหรือซองเหนียวได้เลย แต่ถ้าเป็นสินค้าที่มีโอกาสแตกหักเสียหายไม่มากนัก และมีขนาดไม่ใหญ่มาก เช่น เคสโทรศัพท์ ลิปสติก พ่อค้าแม่ค้าอาจเลือกบรรจุลงในซองกันกระแทก หรือ กล่องพัสดุขนาดเล็กก็ได้ หากเป็นสินค้าที่มีโอกาสเสียหายมาก เช่น จานชามเซรามิค โคมไฟ รองเท้า ฯลฯ ควรเลือกใส่ในกล่องพัสดุที่มีขนาดพอดี ไม่เล็กหรือใหญ่จนเกินไป เพราะหากกล่องมีขนาดเล็กเกินไปอาจเกิดการกระแทกจากภายนอกจนถึงตัวสินค้าได้ หากกล่องมีขนาดใหญ่จนเกินไป กล่องจะมีโอกาสยุบเมื่อวางทับกันระหว่างจัดส่ง หรือสินค้าเคลื่อนไปมาในกล่องจนเกิดความเสียหาย

2. ห่อสินค้าด้วยวัสดุกันกระแทก
เลือกวัสดุกันกระแทกที่เหมาะสมกับตัวสินค้า ไม่ว่าจะเป็นบับเบิ้ล โฟม กระดาษย่อย หากเป็นสินค้าที่มีโอกาสแตกหักเสียหายง่าย ควรห่อด้วยบับเบิ้ลและติดเทปกาวให้แน่นหนาทีละชิ้น การห่อบับเบิ้ลควรห่อให้หนาเท่ากัน 1-2 ชั้น หากเป็นสินค้าทรงกลมหรือโค้งมน ควรห่อด้านหัวท้ายอีกครั้ง หากเป็นสินค้าทรงเหลี่ยม ตรวจสอบมุมทุกด้านให้ดีว่าบับเบิ้ลไม่ฉีกขาด หรือห่อบับเบิ้ลเสริมบริเวณขอบหรือมุมอีกรอบก่อนแพ็คสินค้าลงกล่อง
สำหรับสินค้าประเภทผ้าหรือกระเป๋า ควรแพ็คสินค้าในซองพลาสติกให้ดีก่อนบรรจุลงกล่องพัสดุหรือซองพลาสติก เพื่อป้องกันสินค้าเปรอะเปื้อนหรือเปียกชื้นระหว่างการจัดส่ง ถ้าสินค้าเป็นอาหารที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบควรบรรจุอาหารลงถุงพลาสติก หรือถุงสูญญากาศ จากนั้นใส่ลงกระปุกบรรจุอาหารที่มีขนาดพอดีกัน แล้วห่อด้วยบับเบิ้ลอีกรอบ ส่วนสินค้าที่มีขนาดเล็กไม่แตกหักง่ายมากนัก และต้องการความสวยงาม พ่อค้าแม่ค้าอาจใช้กระดาษย่อยวางรองด้านใน เพื่อลดแรงกระแทก และเพิ่มความสวยงามอีกด้วย
3. ลดช่องว่างในกล่องให้เหลือน้อยที่สุด
เมื่อห่อสินค้าเรียบร้อยแล้วลองบรรจุลงในกล่องพัสดุ หากเหลือที่ว่างในกล่องให้สินค้ากลิ้งไปกลิ้งมาได้อยู่ แสดงว่าสินค้ายังมีโอกาสบุบเสียหายในหว่างการจัดส่งได้ ดังนั้นการแพ็คของส่งลูกค้าจึงควรอุดช่องว่างในกล่องให้เหลือน้อยที่สุด โดยอุปกรณ์ที่ใช้ลดช่องว่างสามารถใช้ได้หลากหลาย เช่น กระดาษปรูฟ กระดาษหนังสือพิมพ์ เศษบับเบิ้ล กระดาษย่อย โฟม เศษไม้ ผักตบชวา ฯลฯ นอกจากช่วยลดแรกกระแทกแล้ว ยังสามารถเลือกให้เหมาะสมกับสินค้าเพื่อเพิ่มมูลค่าได้ ยกตัวเช่น หากขายสินค้าออร์แกนิคหรือสินค้าเพื่อสุขภาพ สามารถใช้เศษไม้หรือผักตบชวาแทนเพื่อให้สอดคล้องกับคอนเซปต์ของสินค้าและส่งเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์

4. ปิดผนึกกล่องให้แน่นหนา
เมื่อแพ็คของเรียบร้อยแล้วก็ปิดผนึกกล่องหรือซองให้แน่นหนาด้วยเทปกาวจนครบทุกด้าน
ตรวจสอบให้ดีอย่าให้มีช่องว่างที่จะทำให้สินค้าหลุดออกมาได้ ควรเลือกใช้เทปกาวที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน ติดกล่องตรงกลางแนวยาวและติดด้านข้างทั้งสองฝั่งด้วย ผู้ให้บริการขนส่งบางรายระบุให้ผู้ส่ง ผูกเชือกบนกล่องพัสดุอีกครั้งด้วย เพื่อเพิ่มความแน่นหนาอีกระดับและช่วยให้สะดวกในการหยิบจับขนย้ายกล่องพัสดุ
5. ติดป้ายเตือนหรือสัญลักษณ์บนกล่องพัสดุ
วิธีแพ็คสินค้าขั้นต่อมาคือการติดป้านเตือนเพื่อให้ขนส่งเพิ่มความระมัดวังกับสินค้าของเรา โดยสินค้าที่เสียหายง่าย ให้ติดป้าย “ห้ามโยน” หรือ “ระวังแตก” บนกล่องพัสดุในจุดที่เห็นเด่นชัด หากเป็นสินค้าที่ห้ามคว่ำหรือวางกลับด้าน เช่น ต้นไม้ ควรติดลูกศรบอกทิศทางบนกล่องด้วย และอีกข้อหนึ่งที่สำคัญสำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ อย่าลืมติดป้ายบอกผู้รับให้ “ถ่ายวิดีโอขณะเปิดกล่องพัสดุ” เพราะหากสินค้าเสียหายระหว่างการจัดส่งพ่อค้าแม่ค้าจะสามารถใช้วิดีโอนั้นเป็นหลักฐานในการเคลมค่าเสียหายจากขนส่งได้ หรือเป็นหลักฐานว่าสินค้าได้รับความเสียหายก่อนถึงมือลูกค้าจริงหรือไม่

6. จ่าหน้าพัสดุให้ชัดเจน
ขั้นตอนนี้ถือเป็นส่วนสำคัญอย่างมากในการแพ็คของส่งลูกค้า ให้ตรวจสอบชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์มือถือให้ครบถ้วน พิมพ์หรือเขียนให้อ่านออกได้ง่าย ตัวหนังสือขนาดใหญ่ ชัดเจน หากเขียนหรือพิมพ์ด้วยหมึกที่ไม่กันน้ำอาจปิดทับด้วยเทปใสอีกครั้งเพื่อป้องกันการเลอะ ลบเลือนหรือฉีกขาดของใบปะหน้า
ปัจจุบันมีเครื่องปริ้นใบจ่าหน้าพัสดุหลายรูปแบบที่ช่วยให้พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์สะดวกในการจ่าหน้ามากขึ้น หรือแพล็ตฟอร์มขายของออนไลน์ก็มีฟังก์ชั่นช่วยปริ้นใบจ่าหน้าที่มีขนาดเหมาะสม สวยงาม ทำให้พ่อค้าแม่ค้าไม่ต้องเสียเวลาในการพิมพ์ หรือจัดขนาด และสามารถสั่งพิมพ์ได้หลายชื่อพร้อมกัน ไม่ต้องนั่งเขียนเองป้องกันความผิดพลาด และสามารถเลือกใช้วัสดุกันน้ำได้อีกด้วย

7. แจ้งหมายเลขติดตามพัสดุให้กับลูกค้า
เมื่อส่งพัสดุให้กับผู้ให้บริการขนส่งเรียบร้อยแล้ว ร้านค้าควรจะต้องแจ้งหมายเลขพัสดุให้กับลูกค้า เพื่อใช้ติดตามสินค้าด้วย และอย่าลืมเก็บใบเสร็จค่าขนส่งสินค้าไว้จนกว่าลูกค้าจะได้รับสินค้าที่มีสภาพสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว หากสินค้าถึงช้ากว่ากำหนด เสียหาย หรือสูญหายระหว่างขนส่ง พ่อค้าแม่ค้าจะต้องมีใบเสร็จเพื่อใช้เคลมค่าเสียหายกับบริษัทขนส่ง
ข้อควรระวังในการแพ็คสินค้า
สำหรับการแพ็คสินค้าทั่วไปที่ไม่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
- เลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน
- กล่องขนาดเหมาะสม
- ห่อบับเบิ้ลให้แน่นหนา
- ติดป้ายให้ชัดเจน
หากสินค้าที่ต้องการแพ็คเป็นสินค้าที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ เช่น สินค้าที่แตกหักง่าย อาหาร ของสด ก็มีข้อควรระวังที่แตกต่างกันไป ดังนี้
- การแพ็คสินค้าที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบ เช่น น้ำปลาหวาน น้ำพริก เจลอาบน้ำ สเปรย์แอลกอฮอล์ ต้องระวังการรั่วซึมของน้ำ หรือความชื้นที่อาจเกิดจากสินค้าภายในกล่อง เมื่อแพ็คของลงกล่องพัสดุตามขั้นตอนปกติแล้วอาจห่อด้วยฟิล์มยืดอีกครั้ง เพื่อป้องกันการฉีกขาดของกล่องพัสดุ
- การแพ็คของสด เช่น ผัก ผลไม้ ต้องมีการเจาะรูที่กล่องพัสดุ หรือใช้กล่องสำหรับบรรจุผลไม้โดยเฉพาะ หรือกล่องที่มีรูระบายอากาศ เพื่อช่วยให้อากาศถ่ายเท รวมถึงไม่เกิดความชื้นที่อาจทำให้ผัก ผลไม้เน่าเสียได้ หากเป็นผัก ผลไม้ที่บอบบางมาก เช่น มะม่วงสุก มะยงชิด ควรห่อบับเบิ้ลทีละลูก เพื่อไม่ให้ผลไม้ช้ำ ไม่ควรแพ็ครวมกับสินค้าชนิดอื่น และเลือกวันส่งให้ดี พยายามเลี่ยงวันเสาร์อาทิตย์หรือวันหยุดยาว
- สำหรับสินค้าที่แตกหักง่าย เช่น ขวดซอส จานชามเซรามิค ให้เลือกใช้กล่องพัสดุที่มีความหนา 5 มม.ขึ้นไป และระวังไม่ให้มีช่องว่างในกล่องพัสดุที่แพ็คเสร็จแล้ว นอกจากนั้นควรรองก้นกล่องด้วยโฟม หรือกระดาษลูกฟูกอีกชั้น ป้องกันไม่ให้สินค้ากระแทกกับพื้นเมื่อกล่องถูกโยนหรือวางอย่างแรง และสินค้าทุกชิ้นต้องห่อด้วยบับเบิ้ลให้มิดชิด แน่นหนา ตรวจสอบมุมและขอบของสินค้าให้เรียบร้อยอีกครั้งก่อนแพ็คลงกล่องพัสดุ
- การแพ็คต้นไม้ ที่ได้รับความนิยมซื้อขายออนไลน์กันมากขึ้น หากเป็นต้นไม้ในกระถางต้องปิดคลุมหน้าดินให้ดี ป้องกันการหกเลอะเทอะ แล้วห่อกระถางด้วยพลาสติกและบับเบิ้ล ติดเทปกาวให้แน่นหนา ส่วนใบให้ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์พรมน้ำห่อไม่ให้ใบช้ำ แล้วผูกกระถางกับลำต้นเข้ากับกล่องพัสดุด้วยเชือก ติดลูกศรบอกทิศทาง และใช้กล่องที่มีรูระบายอากาศ

เคล็ดลับแพ็คของให้โดนใจลูกค้า
การแพ็คของไม่ใช่แค่การจัดหีบห่อให้เรียบร้อย แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญที่ร้านค้าจะสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าตั้งแต่ยังไม่เปิดกล่อง
หากลองนึกภาพตามว่า ลูกค้าสั่งของออนไลน์มาชิ้นหนึ่ง พอเปิดพัสดุออกมาเจอกล่องที่แพ็คอย่างใส่ใจ ห่อของอย่างประณีต พร้อมการ์ดเล็ก ๆ ที่เขียนขอบคุณจากใจ แบบนี้แม้จะเป็นสินค้าชิ้นเล็ก ลูกค้าก็รู้สึกประทับใจ และอยากกลับมาซื้อซ้ำอีกแน่นอน
และนี่คือเคล็ดลับง่าย ๆ ที่ช่วยยกระดับการแพ็คของของคุณให้ “โดนใจ” ลูกค้าได้มากขึ้น
1. ใส่ใจในความสะอาดและความเรียบร้อย
แพ็คเกจจิ้งที่สะอาด ไม่ยับ ไม่เปื้อน และปิดเรียบเนียน จะช่วยให้ลูกค้ามีความรู้สึกที่ดีตั้งแต่แรกเห็น อย่าลืมตรวจสอบก่อนจัดส่งทุกครั้งว่ากล่องไม่บุบ ซองไม่ฉีก และไม่มีรอยเปื้อนหรือคราบฝุ่น
2. เพิ่มการ์ดขอบคุณหรือข้อความเล็ก ๆ จากใจ
แม้จะเป็นข้อความสั้น ๆ อย่าง “ขอบคุณที่อุดหนุน” หรือ “หวังว่าจะถูกใจนะคะ” ก็ช่วยเพิ่มความรู้สึกดี ๆ ให้กับลูกค้าได้มากขึ้น โดยเฉพาะถ้าเขียนด้วยลายมือ หรือพิมพ์ใส่การ์ดสวย ๆ ก็จะดูเป็นกันเองและมีความจริงใจ
3. ใช้วัสดุห่อที่เข้ากับแบรนด์
ถ้าร้านของคุณมีธีมหรือโทนสีเฉพาะ เช่น สีชมพู สีเขียวพาสเทล หรือแนวรักษ์โลก คุณสามารถเลือกวัสดุห่อ เช่น กระดาษห่อ ซอง หรือสติกเกอร์ ให้สอดคล้องกับแบรนด์ได้ ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าจดจำภาพลักษณ์ของร้านได้ง่ายขึ้น
4. ห่อของให้สวยงามเหมือนของขวัญ
โดยเฉพาะถ้าสินค้าที่ถูกซื้อไปเป็นของขวัญในโอกาสพิเศษ การห่อด้วยกระดาษสวย ๆ หรือใส่ในถุงผ้าเล็ก ๆ จะเพิ่มคุณค่าให้สินค้าได้มาก แม้ร้านจะไม่ใช่แบรนด์หรู แต่ความตั้งใจในการแพ็คจะทำให้ลูกค้ารู้สึกประทับใจ

5. ใส่ของแถมหรือคูปองส่วนลดเล็ก ๆ
การแนบของแถมหรือส่วนลดพิเศษสำหรับการซื้อครั้งถัดไป เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าอยากกลับมาซื้อซ้ำ และทำให้รู้สึกว่าได้รับมากกว่าที่จ่ายไป
6. แนะนำให้ลูกค้าถ่ายวิดีโอตอนแกะกล่อง (Unboxing)
สามารถติดข้อความหรือสติกเกอร์เล็ก ๆ บนกล่องว่า “แนะนำให้ถ่ายวิดีโอขณะเปิดกล่อง” นอกจากจะช่วยในกรณีสินค้าเสียหายแล้ว ยังเปิดโอกาสให้ลูกค้าช่วยรีวิว หรือแชร์ประสบการณ์การแกะกล่องบนโซเชียลได้ด้วย
7. ใช้กล่องหรือซองที่ออกแบบมาโดยเฉพาะของร้าน
หากร้านมีงบมากขึ้น อาจออกแบบกล่องพัสดุหรือซองที่มีโลโก้ร้าน หรือข้อความสนุก ๆ เพื่อเพิ่มความรู้สึกเฉพาะตัว และทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์มีเอกลักษณ์
8. แนบใบเสร็จ หรือใบรายการสินค้าอย่างเป็นระเบียบ
การใส่ใบเสร็จหรือใบสรุปรายการสินค้า (Packing List) ลงในพัสดุจะช่วยให้ลูกค้าตรวจสอบรายการที่ได้รับได้ง่ายขึ้น โดยควรพับหรือวางอย่างเป็นระเบียบ ไม่ยับ ไม่ขาด และใส่ซองพลาสติกกันน้ำหากจำเป็น โดยเฉพาะกับออเดอร์ที่มีหลายชิ้น ลูกค้าจะรู้สึกว่าร้านเป็นมืออาชีพและรอบคอบมากขึ้น
9. เพิ่มกลิ่นหอมอ่อน ๆ ในกล่อง
บางร้านใส่ซองน้ำหอมเล็ก ๆ หรือกระดาษที่มีกลิ่นหอมเบา ๆ ลงไปในกล่องด้วย กลิ่นที่น่ารื่นรมย์สามารถช่วยสร้างความทรงจำที่ดีในใจลูกค้า และทำให้แบรนด์น่าจดจำมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะสำหรับแบรน์เสื้อผ้า สกินแคร์ เครื่องประดับ หรือสินค้าแนวไลฟ์สไตล์
10. แนะนำช่องทางติดต่อหรือโซเชียลมีเดียในกล่อง
สามารถพิมพ์ QR Code หรือข้อความสั้น ๆ เพื่อแนะนำให้ลูกค้าติดตามร้านผ่าน Facebook, IG หรือ LINE เพื่อรับโปรโมชันหรือคอนเทนต์จากร้านในอนาคต เป็นวิธีเพิ่มฐานลูกค้าอย่างแนบเนียนโดยไม่ดูขายเกินไป
11. สร้างประสบการณ์การเปิดกล่องที่มีลำดับขั้นตอน
แทนที่ลูกค้าจะเปิดกล่องแล้วเจอของวางรวมกัน อาจจัดวางเป็นชั้น ๆ เช่น
- ชั้นแรก: การ์ดทักทาย
- ชั้นที่สอง: สินค้าหลักห่อสวยงาม
- ชั้นล่างสุด: ของแถม / คูปอง
แบบนี้จะทำให้การเปิดกล่องมีขั้นตอน มีจังหวะ และทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้รับมากกว่าที่สั่งไป
12. ใช้วัสดุหรือแพ็คเกจที่ลูกค้าสามารถใช้ต่อได้
เช่น ถุงผ้า ซองซิป กล่องสวยที่สามารถเก็บไว้ใส่ของต่อได้ ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้รับคุณค่ามากขึ้น และอาจนำไปใช้ซ้ำในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นการทำให้แบรนด์ของคุณอยู่กับลูกค้า ได้นานขึ้นโดยไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณาเพิ่มเลย
แม้ว่าปัจจุบันจะมีผู้ให้บริการขนส่งให้เลือกหลากหลาย แต่แต่ละเจ้าก็มีข้อจำกัดและเงื่อนไขที่แตกต่างกันออกไป เช่น บางรายไม่ให้บริการในวันหยุด บางรายคิดค่าบริการเพิ่มเติมในพื้นที่ห่างไกล หรือไม่รับขนส่งของเหลวและสินค้าที่แตกหักง่าย ขณะที่บางรายมีบริการควบคุมอุณหภูมิสำหรับสินค้าที่ต้องแช่เย็นโดยเฉพาะ ดังนั้นพ่อค้าแม่ค้าจึงควรศึกษาข้อมูลให้รอบด้านก่อนเลือกใช้บริการ เพื่อให้สินค้าถึงมือลูกค้าได้อย่างปลอดภัยและไม่เสียโอกาสทางการขาย
ท่ามกลางการแข่งขันของธุรกิจออนไลน์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ผู้ขายจึงไม่เพียงต้องมองหา “สินค้าที่น่าสนใจ” เท่านั้น แต่ยังต้องวางแผนให้ครอบคลุมไปถึง “การแพ็คสินค้า” ที่มั่นคง ปลอดภัย และดูเป็นมืออาชีพ เพราะหากแพ็คไม่ดี สินค้าเสียหายระหว่างทาง ผู้ขายก็อาจต้องเสียทั้งต้นทุน เวลา และความน่าเชื่อถือไปอย่างน่าเสียดาย
ในกรณีที่ร้านค้าอาจยังไม่มีทีมงานหรือประสบการณ์ด้านการจัดการสต๊อกและการแพ็คสินค้า การใช้บริการจากผู้เชี่ยวชาญ เช่น Carry Fulfillment ก็เป็นทางเลือกที่ช่วยให้คุณบริหารงานหลังบ้านได้อย่างราบรื่น และเพิ่มความมั่นใจในการส่งสินค้าให้ถึงมือลูกค้าได้อย่างมีคุณภาพ ศึกษาบริการของเราเพิ่มเติมที่ได้ที่นี่เลยหากคุณอยากรู้ว่า บริการแพ็คสินค้า สามารถช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพให้ธุรกิจออนไลน์ได้อย่างไร
อ่านต่อ:10 ข้อดีของบริการแพ็คสินค้า ช่วยร้านค้าออนไลน์ลดต้นทุนได้จริง!