
การขายสินค้าออนไลน์นั้นไม่ใช่แค่เรื่องของการหาสินค้าดี ๆ มาขาย ถ่ายรูปสวย ๆ หรือโพสต์ลงโซเชียลมีเดียเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องสำคัญอีกอย่างที่พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์มือใหม่หลายคนมักมองข้าม นั่นคือ การคิดค่าส่งสินค้า ซึ่งถ้าคำนวณไม่ดี ก็อาจทำให้ร้านของคุณขาดทุนได้โดยไม่รู้ตัว
วันนี้ Carry Fulfillment จะมาเจาะลึกเรื่องการคิดค่าส่งสินค้าแบบครบวงจร ตั้งแต่หลักการพื้นฐาน ไปจนถึงเทคนิคการคิดค่าส่งแบบมืออาชีพ เพื่อให้ธุรกิจออนไลน์ของคุณเติบโตอย่างยั่งยืน ไม่ขาดทุนเพราะค่าส่ง
ทำไมการคิดค่าส่งสินค้าจึงสำคัญสำหรับร้านค้าออนไลน์?
ก่อนที่เราจะไปถึงวิธีการคิดค่าส่ง เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่าทำไมการคิดค่าส่งจึงมีความสำคัญต่อธุรกิจออนไลน์
ผลกระทบต่อกำไรของร้าน
หลายคนอาจคิดว่ากำไรของร้านค้ามาจากราคาสินค้าเท่านั้น แต่ความจริงแล้ว ค่าส่งก็เป็นต้นทุนสำคัญที่กระทบต่อกำไรโดยตรง หากคุณคิดค่าส่งต่ำเกินไป หรือแถมส่งฟรีโดยไม่ได้คำนวณต้นทุนให้ดี อาจทำให้กำไรที่คิดไว้หายไปกับค่าส่งโดยไม่รู้ตัว
ผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า
ข้อมูลจากการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคออนไลน์พบว่า 48% ของผู้ซื้อสินค้าออนไลน์จะยกเลิกการซื้อหากค่าส่งสูงเกินไป ในขณะที่ 62% ของผู้ซื้อจะไม่เลือกซื้อสินค้า หากร้านไม่มีบริการส่งฟรี ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าค่าส่งมีผลอย่างมากต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า
สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน
หากร้านค้าของคุณสามารถบริหารจัดการค่าส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการมีค่าส่งที่ถูกกว่าคู่แข่ง หรือมีตัวเลือกการจัดส่งที่หลากหลายกว่า ก็จะช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันให้กับร้านของคุณ

เข้าใจต้นทุนค่าส่งสินค้าให้ถ่องแท้
ก่อนจะคิดค่าส่งให้ลูกค้า คุณต้องเข้าใจก่อนว่าต้นทุนค่าส่งของคุณประกอบด้วยอะไรบ้าง ซึ่งไม่ได้มีแค่ค่าขนส่งเท่านั้น แต่ยังมีต้นทุนแฝงอีกหลายอย่าง
ต้นทุนค่าขนส่งโดยตรง
นี่คือค่าใช้จ่ายที่ชัดเจนที่สุด คือค่าบริการที่คุณจ่ายให้กับบริษัทขนส่ง ไม่ว่าจะเป็น ไปรษณีย์ไทย Kerry, Flash Express, J&T หรือผู้ให้บริการรายอื่น ๆ ซึ่งอัตราค่าบริการจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น
- น้ำหนักของพัสดุ
- ขนาดของพัสดุ
- ระยะทางในการจัดส่ง
- ประเภทของการจัดส่ง (ด่วนพิเศษ, ธรรมดา)
- บริการเสริมต่าง ๆ (เช่น การเก็บเงินปลายทาง)
ต้นทุนบรรจุภัณฑ์
อีกต้นทุนสำคัญที่หลายคนมองข้าม คือค่าบรรจุภัณฑ์ ซึ่งประกอบด้วย
- กล่องพัสดุ/ซองพัสดุ
- วัสดุกันกระแทก (เช่น bubble wrap, กระดาษฟองน้ำ)
- เทปกาว
- สติกเกอร์จ่าหน้า
- บรรจุภัณฑ์พิเศษ (กรณีสินค้าที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ)
หากคุณสั่งซื้อบรรจุภัณฑ์จำนวนมาก อาจได้ราคาที่ถูกลง แต่ก็ต้องคำนึงถึงพื้นที่จัดเก็บด้วย
ค่าแรงในการแพ็คสินค้า
หลายคนมองข้ามค่าใช้จ่ายนี้ โดยเฉพาะร้านเล็ก ๆ ที่เจ้าของร้านจัดการทุกอย่างเอง แต่เวลาที่คุณใช้ในการแพ็คสินค้าก็มีต้นทุนแฝงอยู่ คุณควรประเมินว่าการแพ็คสินค้าหนึ่งชิ้นใช้เวลาเท่าไร แล้วคิดเป็นค่าแรงตามอัตราที่เหมาะสม เช่น หากใช้เวลาแพ็ค 5 นาที และคุณประเมินค่าแรงตัวเองที่ 40 บาทต่อชั่วโมง ก็จะมีต้นทุนค่าแรงประมาณ 3.33 บาทต่อชิ้น
ค่าเดินทางไปส่งพัสดุ
สำหรับร้านขนาดเล็กที่ต้องนำพัสดุไปส่งเอง คุณต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายในการเดินทางด้วย ไม่ว่าจะเป็นค่าน้ำมันรถ ค่ารถสาธารณะ หรือแม้แต่ค่าเสียเวลาในการเดินทาง โดยเฉลี่ยแล้วควรคิดเป็นต้นทุนต่อชิ้นเพื่อให้ง่ายต่อการคำนวณ
ค่าประกันพัสดุ
หากสินค้าของคุณมีมูลค่าสูงหรือแตกหักง่าย การทำประกันพัสดุอาจเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมตามมูลค่าของสินค้า โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 1-3% ของมูลค่าสินค้า
ค่าใช้จ่ายสำหรับพัสดุที่มีปัญหา
ไม่ว่าจะเป็นพัสดุสูญหาย พัสดุเสียหาย หรือการส่งคืนสินค้า ล้วนมีต้นทุนที่คุณต้องรับผิดชอบ ควรประเมินอัตราการเกิดปัญหาเหล่านี้จากข้อมูลในอดีต เช่น หากมีอัตราการส่งคืน 2% คุณควรบวกต้นทุนนี้เข้าไปในการคำนวณค่าส่งด้วย

สูตรพื้นฐานในการคำนวณค่าส่งสินค้า
หลังจากที่เข้าใจองค์ประกอบของต้นทุนค่าส่งแล้ว เรามาดูสูตรพื้นฐานในการคำนวณค่าส่งกัน
สูตรอย่างง่าย
ค่าส่งที่เรียกเก็บจากลูกค้า = ต้นทุนค่าส่งทั้งหมด + กำไรที่ต้องการ
โดยที่ ต้นทุนค่าส่งทั้งหมด = ค่าขนส่ง + ค่าบรรจุภัณฑ์ + ค่าแรงแพ็คสินค้า + ค่าเดินทาง + ค่าประกัน + ต้นทุนจากปัญหา
ตัวอย่างการคำนวณ
สมมติว่าคุณขายเสื้อผ้าออนไลน์ และมีต้นทุนดังนี้
- ค่าขนส่งกับ Kerry: 45 บาท
- ค่าซองพัสดุและวัสดุกันกระแทก: 8 บาท
- ค่าแรงแพ็คสินค้า: 3 บาท
- ค่าเดินทางไปส่งพัสดุ: 5 บาท
- ค่าประกันพัสดุ: 0 บาท (ไม่ได้ทำประกัน)
- ประมาณการต้นทุนจากปัญหา: 2 บาท
รวมต้นทุนค่าส่งทั้งหมด = 45 + 8 + 3 + 5 + 0 + 2 = 63 บาท
หากคุณต้องการกำไรจากค่าส่ง 10% ก็จะเท่ากับ 6.3 บาท
ดังนั้น ค่าส่งที่ควรเรียกเก็บจากลูกค้า = 63 + 6.3 = 69.3 บาท ซึ่งอาจปัดเป็น 70 บาทเพื่อความสะดวก

กลยุทธ์การคิดค่าส่งสินค้าแบบต่าง ๆ
ในความเป็นจริง การคิดค่าส่งไม่ได้มีแค่วิธีเดียว แต่มีหลายรูปแบบที่คุณสามารถเลือกใช้ให้เหมาะกับธุรกิจของคุณ
1. คิดค่าส่งตามจริง
วิธีนี้เป็นวิธีที่ตรงไปตรงมาที่สุด คือคิดค่าส่งตามต้นทุนที่เกิดขึ้นจริง บวกกำไรเล็กน้อย ข้อดีคือลูกค้าจะรู้สึกว่าได้รับความเป็นธรรม แต่ข้อเสียคือคุณต้องคำนวณค่าส่งใหม่ทุกครั้ง ซึ่งอาจไม่สะดวกหากมีออร์เดอร์จำนวนมาก
2. คิดค่าส่งแบบเหมา (Flat rate)
การกำหนดค่าส่งในอัตราคงที่ไม่ว่าจะซื้อสินค้าชิ้นไหน เช่น ค่าส่ง 70 บาททั่วประเทศ วิธีนี้ทำให้ลูกค้าทราบค่าใช้จ่ายล่วงหน้าได้ชัดเจน แต่อาจทำให้คุณขาดทุนในกรณีที่ส่งของหนักหรือส่งไปพื้นที่ห่างไกล
3. คิดค่าส่งตามน้ำหนัก
การคิดค่าส่งตามน้ำหนักของสินค้า เช่น 50 บาทสำหรับสินค้าน้ำหนักไม่เกิน 500 กรัม, 70 บาทสำหรับสินค้า 500-1000 กรัม เป็นต้น วิธีนี้สะท้อนต้นทุนได้ค่อนข้างแม่นยำ แต่อาจซับซ้อนสำหรับลูกค้า
4. คิดค่าส่งตามพื้นที่ (Zone-based)
การแบ่งพื้นที่จัดส่งเป็นโซน และกำหนดอัตราค่าส่งที่แตกต่างกันในแต่ละโซน เช่น โซนกรุงเทพฯ 50 บาท, โซนปริมณฑล 60 บาท, โซนภาคกลาง 70 บาท เป็นต้น วิธีนี้เหมาะกับร้านที่มีฐานลูกค้ากระจายตัวทั่วประเทศ
5. ฟรีค่าส่งเมื่อซื้อครบตามกำหนด
การกำหนดเงื่อนไขให้ลูกค้าได้รับบริการส่งฟรีเมื่อซื้อสินค้าครบตามยอดที่กำหนด เช่น ฟรีค่าส่งเมื่อซื้อครบ 1,000 บาท วิธีนี้จะช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าซื้อสินค้าในปริมาณที่มากขึ้น แต่คุณต้องแน่ใจว่ายอดขั้นต่ำที่กำหนดนั้นครอบคลุมต้นทุนค่าส่งได้
6. รวมค่าส่งไว้ในราคาสินค้า
บางร้านเลือกที่จะรวมค่าส่งไว้ในราคาสินค้าเลย แล้วโฆษณาว่า “ส่งฟรีทุกออร์เดอร์” วิธีนี้ดึงดูดลูกค้าได้ดีเพราะคำว่า “ฟรี” มีผลทางจิตวิทยา แต่คุณต้องคำนวณให้รอบคอบ และอาจเสียเปรียบในกรณีที่ลูกค้าอยู่ในพื้นที่ห่างไกล
วิธีคิดค่าส่งให้เหมาะกับสินค้าประเภทต่าง ๆ
สินค้าแต่ละประเภทอาจต้องการวิธีคิดค่าส่งที่แตกต่างกัน มาดูกันว่าสินค้าแต่ละประเภทควรใช้วิธีคิดค่าส่งแบบใด
เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย
เสื้อผ้ามักมีน้ำหนักเบาแต่อาจมีขนาดใหญ่ วิธีที่เหมาะสมคือ
- คิดค่าส่งแบบเหมาจ่าย เนื่องจากน้ำหนักไม่แตกต่างกันมาก
- รวมค่าส่งไว้ในราคาสินค้า เหมาะกับร้านที่ขายเสื้อผ้าราคาสูง
- ฟรีค่าส่งเมื่อซื้อครบ เช่น ซื้อ 2 ชิ้นขึ้นไป ส่งฟรี
เครื่องสำอางและความงาม
สินค้าประเภทนี้มักมีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา แต่มีมูลค่าสูง วิธีที่เหมาะสมคือ
- รวมค่าส่งไว้ในราคาสินค้า เพราะต้นทุนค่าส่งมักต่ำเมื่อเทียบกับราคาสินค้า
- คิดค่าส่งแบบเหมาจ่ายในอัตราต่ำ และเพิ่มประกันสินค้า
- ฟรีค่าส่งเมื่อซื้อครบ เพื่อกระตุ้นยอดขาย
อาหารและเครื่องดื่ม
สินค้าประเภทนี้ต้องการความรวดเร็วในการจัดส่ง และบางครั้งต้องการการควบคุมอุณหภูมิ วิธีที่เหมาะสมคือ
- คิดค่าส่งตามจริง เพราะมีตัวแปรด้านน้ำหนักและการดูแลพิเศษ
- คิดค่าส่งตามพื้นที่ และอาจมีการจำกัดพื้นที่จัดส่ง
- เพิ่มตัวเลือกการจัดส่งด่วน สำหรับสินค้าที่ต้องการความสด
เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน
สินค้าประเภทนี้มักมีน้ำหนักและขนาดใหญ่ วิธีที่เหมาะสมคือ
- คิดค่าส่งตามน้ำหนักและขนาด อาจต้องใช้บริการขนส่งพิเศษ
- คิดค่าส่งตามพื้นที่ เพราะระยะทางมีผลมากต่อต้นทุน
- อาจเสนอบริการขนส่งและติดตั้งในราคาเหมาจ่าย
สินค้าไอที และอิเล็กทรอนิกส์
สินค้าประเภทนี้มีมูลค่าสูง แต่อาจเสียหายได้ง่าย วิธีที่เหมาะสมคือ
- คิดค่าส่งรวมประกันพัสดุ เพื่อคุ้มครองความเสียหาย
- เสนอตัวเลือกการจัดส่งหลายระดับ (ด่วน, ธรรมดา)
- อาจเหมาะกับการใช้วิธีฟรีค่าส่งเมื่อซื้อครบยอดสูง ๆ

เทคนิคการประหยัดต้นทุนค่าส่ง
นอกจากการคิดค่าส่งอย่างเหมาะสมแล้ว การลดต้นทุนค่าส่งก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณมีกำไรมากขึ้น
1. เจรจาข้อตกลงพิเศษกับบริษัทขนส่ง
หากร้านของคุณมียอดส่งพัสดุที่สม่ำเสมอ คุณสามารถเจรจาต่อรองเพื่อขอส่วนลดพิเศษจากบริษัทขนส่งได้ โดยทั่วไปแล้ว ยิ่งร้านค้าของคุณมีปริมาณพัสดุมาก โอกาสที่จะได้ราคาพิเศษก็ยิ่งสูง
2. เลือกบรรจุภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพ
การเลือกบรรจุภัณฑ์ที่มีน้ำหนักเบาแต่แข็งแรงพอที่จะปกป้องสินค้าได้ จะช่วยลดทั้งต้นทุนบรรจุภัณฑ์และค่าขนส่ง (ซึ่งคิดตามน้ำหนัก) ปัจจุบันมีบรรจุภัณฑ์ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับการส่งพัสดุ ซึ่งมีน้ำหนักเบากว่ากล่องทั่วไป
3. รวบรวมออร์เดอร์เพื่อส่งพร้อมกัน
แทนที่จะวิ่งไปส่งพัสดุทุกครั้งที่มีออร์เดอร์ ลองรวบรวมพัสดุให้ได้จำนวนหนึ่งก่อนแล้วค่อยไปส่งพร้อมกัน จะช่วยประหยัดค่าเดินทางได้มาก แต่ต้องคำนึงถึงความรวดเร็วในการจัดส่งด้วย
4. ใช้บริการเรียกรถรับพัสดุ
หลายบริษัทขนส่งมีบริการเรียกรถไปรับพัสดุถึงที่ ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเล็กน้อย แต่ถ้าคำนวณรวมกับเวลาและค่าเดินทางที่คุณประหยัดได้ อาจคุ้มค่ากว่าการไปส่งเอง
5. มีจุดรับส่งสินค้า
หากร้านของคุณมีหน้าร้านหรือสำนักงาน คุณอาจเปิดให้ลูกค้ามารับสินค้าเองได้ โดยอาจมีส่วนลดพิเศษให้สำหรับลูกค้าที่เลือกวิธีนี้ เพื่อจูงใจให้ลูกค้าช่วยคุณประหยัดค่าส่ง
6. ซื้อบรรจุภัณฑ์จำนวนมาก
การสั่งซื้อซองพัสดุ กล่อง หรือวัสดุกันกระแทกในปริมาณมาก ๆ จะช่วยให้ได้ราคาต่อหน่วยที่ถูกลง แต่ต้องพิจารณาพื้นที่จัดเก็บประกอบด้วย
7. ใช้บริการ Fulfillment
เหมาะกับร้านที่มีออร์เดอร์ประมาณ 10+ ชิ้นต่อวันขึ้นไป บริการ Fulfillment คือการให้บริษัทภายนอกจัดการคลังสินค้า แพ็คและจัดส่งสินค้าให้ทั้งหมด ช่วยประหยัดต้นทุนได้เพราะ
- ได้อัตราค่าส่งพิเศษจากปริมาณการส่งรวม
- ไม่ต้องลงทุนพื้นที่เก็บสินค้า
- ประหยัดเวลาและแรงงาน
- มีเครือข่ายการจัดส่งที่ครอบคลุมกว่า
- รองรับการเติบโตของธุรกิจได้ดี
สำหรับคนที่ไม่แน่ใจว่าร้านค้าออนไลน์ของตัวเองควรใช้ บริการ Fulfillment ไหม ลองเข้ามาอ่าน 12 สัญญาณที่ร้านค้าออนไลน์ควรใช้ Fulfillment Service เพื่อเพิ่มยอดขาย เพื่อหาคำตอบเลย!

การปรับกลยุทธ์ค่าส่งให้เข้ากับเทศกาลและโปรโมชั่น
การปรับกลยุทธ์ค่าส่งในช่วงเทศกาลหรือเมื่อมีการจัดโปรโมชั่นเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ช่วงเทศกาลสำคัญ
ในช่วงเทศกาลสำคัญ เช่น ตรุษจีน สงกรานต์ หรือปีใหม่ ความต้องการซื้อสินค้าออนไลน์มักจะสูงขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสดีในการดึงดูดลูกค้าด้วยโปรโมชั่นค่าส่ง เช่น
- ส่งฟรีทั่วประเทศในวันสำคัญ
- ลดค่าส่ง 50% เมื่อซื้อสินค้าคู่กัน (คู่ของขวัญ)
- ฟรีบริการห่อของขวัญพร้อมส่งตรงถึงผู้รับ
ช่วงแคมเปญลดราคา
เมื่อมีแคมเปญลดราคาใหญ่ ๆ เช่น 9.9, 10.10, 11.11, Black Friday คุณสามารถใช้กลยุทธ์ค่าส่งเพื่อเพิ่มยอดขาย เช่น:
- จัดแพ็คเกจ “ซื้อครบ X บาท ฟรีค่าส่ง” โดยกำหนดยอดที่สูงกว่าปกติเล็กน้อยเพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าซื้อเพิ่ม
- จำกัดเวลาโปรโมชั่นส่งฟรี เช่น “ส่งฟรีเฉพาะ 3 ชั่วโมงแรกของแคมเปญ” เพื่อสร้างความรู้สึกเร่งด่วน
- ส่งฟรีแบบมีเงื่อนไข เช่น “ส่งฟรีเมื่อซื้อสินค้าในหมวดหมู่ที่ร่วมรายการ”
การรับมือกับความหนาแน่นของพัสดุในช่วงเทศกาล
ในช่วงเทศกาลสำคัญ บริษัทขนส่งมักจะมีปริมาณพัสดุมากกว่าปกติ ทำให้การจัดส่งอาจล่าช้า ร้านค้าควรเตรียมรับมือโดย
- แจ้งลูกค้าล่วงหน้าเกี่ยวกับความล่าช้าที่อาจเกิดขึ้น
- เพิ่มตัวเลือกการจัดส่งด่วนพิเศษ (มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม) สำหรับลูกค้าที่ต้องการของเร่งด่วน
- กำหนดวันสุดท้ายในการสั่งซื้อเพื่อให้ได้รับสินค้าทันก่อนวันสำคัญ
การคิดค่าส่งสินค้าที่เหมาะสมเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจออนไลน์ของคุณประสบความสำเร็จ หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์มือใหม่เข้าใจหลักการและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป
สำหรับร้านค้าออนไลน์ร้านไหนที่มีออเดอร์เข้ามามากมายจากการกำหนดค่าส่งอย่างมีประสิทธิภาพ จนจัดการไม่ทัน ก็อย่าลืมนึกถึง Carry Fulfillment กันนะครับ เราช่วยร้านคุณจัดการได้ทุกขั้นตอน ทั้งจัดเก็บ แพ็ค และส่งสินค้าให้คุณอย่างมีประสิทธิภาพ เรามีระบบหลังบ้านที่สามารถเชื่อมต่อ API เข้ากับแพลตฟอร์มต่าง ๆ ทําให้ร้านค้า ประหยัดเวลาในการจัดการออเดอร์ได้เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นหลักพันหรือหมื่นออเดอร์ เราพร้อมให้บริการครบวงจรที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณดำเนินไปอย่างราบรื่น สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการของเราได้ที่นี่เลยครับ!